วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วิธีีเอาชนะความกลัว ตอน 2

ตอนที่แล้วพูดถึงเรื่องวิธีการเอาชนะความกลัววิธีแรก
ซึ่งถ้าเปรียบเป็นลำดับขั้น ก็เหมือนเป็นระดับอนุบาล
คือเด็กๆก็ทำได้ แค่สร้างความเชื่อ หรือศรัทธาให้เกิดขึ้น

วิธีที่สอง คือการส่งใจไปที่อื่นเสีย หรือการผูกมัดกับสิ่งอื่น
วิธีนี้ เพิ่มระดับความยากขึ้นมาอีกนิด
เพราะอยู่ในชั้นที่จัดเป็นกุศโลบาย 
เหมือนเราเป็นแม่ทัพ ต้องวางแผนการรบเพื่อไปต่อสู้กับศัตรู
แต่ศัตรูในที่นี้ คือตัวเราเอง
หรือก็คือใจที่กำลัวกลัวของเราเอง 
 โดยการส่งความนึกคิดของใจไปอยู่ที่อื่นเสีย

เอาตัวอย่างง่ายๆจากในหนัง เรื่อง Harry Potter 
จากหนังเราได้รู้ว่า Harry ตัวเอกของเรื่อง รอดตายมาได้ 
เพราะแม่ของเขาปกป้องโดยเอาชีวิตเข้าแลก
แม่เขา Harry ไม่กลัวตายหรือ ก็เปล่า
แต่เพราะ ณ ตอนนั้น ใจของเธอมุ่งไปที่ลูก
ห่วงลูก รักลูก จึงลืมกลัว 
ลืมกลัวทุกอย่าง แม้กระทั่งความตาย ขอเพียงได้ปกป้อง ลูกอันเป็นที่รัก

ในพระพุทธศาสนา
 
การนั่งสมาธิ ก็จัดอยู่ในวิธีนี้เช่นกัน
อาการที่สงบใจไว้ด้วยสมาธินั้น เป็นอุบายข่มความกลัว ได้สนิทแท้
เพราะว่า ในขณะแห่งสมาธิ ใจไม่มีการคิดนึก อันใดเลย
นอกจากจับอยู่ที่สิ่งซึ่งผู้นั้น ถือเอาเป็นอารมณ์ หรือนิมิต
ที่เกาะของจิตอยู่ในภายในเท่านั้น 

 
พระผู้มีพระภาคทรงสอนให้ระลึกถึงพระองค์
หรือพระธรรม หรือพระสงฆ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง
ในเมื่อภิกษุใดเกิดความกลัวขึ้นมา ในขณะที่ตนอยู่ในที่เงียบสงัด
เช่นในป่าหรือถ้ำ เป็นต้น
  
ซึ่งการที่พระองค์สอนให้ระลึกถึงพระองค์
หรือพระธรรม พระสงฆ์ ตามนัยแห่งบาลี ธชัคคสูตรนั้น ก็หมายถึง
พุทธานุสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ อยู่แล้ว
แม้ว่าจะเป็นเพียง อุปจารสมาธิ ยังไม่ถึงขึดฌาณก็ตาม
ล้วนแต่ต้องการความชำนาญ
จึงอาจเปลี่ยนอารมณ์ที่กลัวให้เป็นพุทธานุสสติ เป็นต้นได้ 

แต่ว่าใจที่ เต็มไป ด้วยความกลัว ยากที่จะเป็นสมาธิ
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นสมาธิ ที่ชำนาญ อย่างยิ่งจริงๆ
จนเกือบกลายเป็นความจำอันหนึ่งไป พอระลึกเมื่อใด
นิมิตนั้นมาปรากฏเด่นอยู่ที่ "ดวงตาภายใน" ได้ทันที
นั่นแหละ จึงจะเป็นผล 
 
สมาธิ ที่เป็นได้ถึงฌาณ เช่น พรหมวิหาร เป็นต้น
เมื่อชำนาญแล้ว สามารถที่จะข่มความกลัว ได้เด็ดขาดจริงๆ
ยิ่งโดยเฉพาะ เมตตา พรหมวิหาร ยิ่งเป็นไปได้ง่ายที่สุด 

อย่างไรก็ตาม วิธีนี้เป็นเพียงการข่มเอาไว้เท่านั้น
เชื้อของความกลัวยังไม่ถูกรื้อถอนออก
เมื่อหยุดข่มเมื่อใด ความกลัวก็เกิดขึ้นตามเดิม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ไม่ได้ฝึกสมาธิจนชำนาญ
ก็ไม่สามารถสามารถข่มความกลัวได้อย่างเต็มที่
ถ้าสมาธิไม่แรงกล้าเท่า อาการกลัว

พรุ่งนี้จะต่อวิธีสุดท้าย
ซึ่งวิธีนี้ถือว่าเป็นขั้นสูง แต่น่าประหลาดที่ว่า
เป็นวิธีที่อาจเหมาะกับเราๆท่านๆ ที่เป็นคนธรรมดา
และยังได้ผลดีกว่าด้วย

^______^
 


วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วิธีเอาชนะความกลัว ตอน1

คงจะหายากเต็มที ที่จะเจอคนคนหนึ่งที่ ไม่เคยกลัวอะไรเลย
บางคนกลัวสัตว์ต่างๆ เช่น แมลง หนู งู ตะขาบ จิ้งจก ตุ๊กแก 

บางคนกลัวความมืด
บางคนกลัวที่แคบ
บางคนกลัวฟ้าร้อง ฟ้าผ่า
แม้กระทั่ง กลัวการเจ็บป่วย หรือ กลัวตาย
และอื่นๆอีก มากมาย


ลักษณะอาการกลัว ก็ต่างกันไปตามแต่บุคคลนั้นๆ

คนกลัวฟ้าร้อง พอฝนตกฟ้าแลบที ก็รีบหลบอยู่ใต้ผ้าห่ม นอนตัวสั่น
คนกลัวแมลงสาป พอแค่เจอ ในระยะร้อยเมตร ก็ร้องกรี๊ดๆลั่นบ้าน หรือกระโดดขึ้นเก้าอี้
คนกลัวที่แคบ บางคนพอต้องอยู่ในที่แคบก็มีอาการเหงื่อออก หน้ามืด มากๆเข้าก็หมดสติไปเลย

ทำไมคนถึงเกิดอาการกลัวขึ้น
ทางพุทธศาสนากล่าวเอาไว้ว่า
ความกลัว ล้วนถูกสร้างขึ้นด้วยสัญญาในอดีตของตัวเรานั่นเอง
สัญญา คือ การจำได้ หรือ การหมายรู้ได้

เช่นคนกลัวหมา เพราะตอนเด็ก เคยถูกหมากัดจนเลือดออก ร้องไห้จ้า
ถึงแม้ว่าเรื่องจะผ่านไปนานแค่ ไหน หรือ หมาจะเป็นคนละตัว
หรือ แม้เราเองอาจจะลืมไปแล้ว
แต่ความกลัวนั้นยังฝังอยู่ในสัญชาติญาณของเรา อยู่ในร่างกายของเรา
เจอหมาอีกครั้งทีไร สัญชาติญาณนั้น ก็จะบอกจิตให้ระลึกได้
ความกลัวว่าจะโดนกัดซ้ำ แล้วเจ็บอีก ก็เกิดขึ้น
เป็นเหตุให้ กลัวที่จะเข้าใกล้ หมา หรือเลี่ยงที่จะไม่เผชิญหน้ากับมัน

จริงๆแล้วมันไม่แปลกหรอก ที่จะกลัว
อาจจะแปลกเสียอีก ถ้าไม่กลัวอะไรเลย 
แต่ถ้าความกลัวนั้น ทำให้เราเป็นทุกข์ที่ครั้งที่เกิดขึ้น 
หรือถ้าทำให้คุณภาพชีวิตของเราแย่ลง
ก็ลองหาวิธีที่จะเอาชนะความกลัวนั้นๆ

มีวิธีหลักๆในแก้ความกลัว ซึ่งสรุปได้อยู่ 3 ประการ
๑. สร้างความเชื่ออย่างเต็มที่ ในสิ่งที่ยึดเอาเป็นที่พึ่ง
๒. ส่งใจไปเสียในที่อื่น ผูกมัดไว้กับสิ่งอื่น
๓. ตัดต้นเหตุ ของความกลัวนั้นๆ เสีย

วิธีแรก คือ สร้างความเชื่อ หรือศรัทธาอย่างแรงกล้าในสิ่งที่ยึดไว้เป็นที่พึ่ง
วิธีนี้เป็นวิธีแบบง่ายๆ ที่นำมาใช้เพื่อสร้างความผ่อนคลาย หรือ เบาใจจากอาการกลัวที่เกิดขึ้น
โดยการหาที่พึ่งอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เราเชื่อว่าจะสามารถป้องกันเราจากสิ่งที่หวาดกลัวได้
เพื่อความเบาใจของตน ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง 
เช่น คนกลัวผี ก็อาจเชื่อว่าถ้าแขวนพระแล้วจะช่วยคุ้มครองจากผีได้

วิธีนี้ จะได้ผลดีก็ต่อเมื่อตนเองยังมีความเชื่อมั่นคงอยู่ 
ซึ่งถ้าความเชื่อนั้นทวีแรงกล้า ก็อาจคล้ายเป็นการหลอกตัวเอง
ให้เห็นสิ่งที่ควรกลัวกลายเป็นสิ่งที่ไม่ควรกลัวไปก็ได้
 
เล่ากันมาว่า เคยมีคนๆ หนึ่ง อมพระเครื่อง เข้าตะลุมบอน ฆ่าฟันกัน
เชื่อว่า ทำให้อยู่คง ฟันไม่เข้า ซึ่งดูเหมือนได้ผล เป็นที่น่าพอใจ เขาจริงๆ
ขณะหนึ่ง พระตกจากปากลงพื้นดิน ในท้องนา
ตะลีตะลานคว้าใส่ปากทั้งที่เห็นไม่ถนัด
แทนที่ จะได้พระ กลับเป็นเขียดตัวหนึ่ง เข้าไปดิ้นอยู่ในปาก
ก็รบ เรื่อยไป โดยยิ่งเชื่อมั่นขึ้นอีกว่า พระในปาก แสดงปาฏิหาริย์
ดิ้นไปดิ้นมา เมื่อเลิกรบ รีบคายออกดู เห็นเป็นเขียดตาย
ก็เลยหมดความเชื่อ ตั้งแต่นั้นมา
ไม่ปรากฏว่า พระเครื่ององค์ใด ทำความพอใจ ให้เขาได้อีก 

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า วิธีนี้ ไม่ใช่ ที่พึ่ง อันเกษม คือ
ทำความปลอดภัยให้ได้อย่างแท้จริง
ไม่ใช่ วิธีสูงสุด, เนตํ สรณํ เขมํ เนตํ สรณมุตฺตมํ

อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นวิธีแก้ไขความกลัวได้เบื้องต้น แบบง่ายๆในระดับหนึ่ง

พรุ่งนี้จะมาเล่าถึงวิธีอื่นๆ ต่อไปค่ะ

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ปัญหา แก้ไม่ยาก

คงไม่แปลกหรอก
ที่หลายๆครั้งเราจะบ่น หรือ เหนื่อยหน่ายกับงานที่ทำ
หรือทุกข์ เศร้า กับปัญหาต่างๆที่พบเจอในแต่ละวัน
เจอลูกค้างี่เง่า
เจอเจ้านายเจ้าอารมณ์ จู้จี้ ขี้บ่น
เจอเพื่อนร่วมงานชอบเกี่ยงงาน
เจอลูกน้องชอบอู้ ขึ้เกียจ
เจอรถติด ฝนตก ถนนลื่น น้ำท่วม สะพานปิดซ่อม 
ทะเลาะกับพ่อแม่
ผิดใจกับแฟน
อกหัก โดนทิ้ง
บลา บลา บลา...

อุปสรรค และปัญหาต่างๆนาๆที่ต้องเจอะเจอในแต่ละวัน
ทำให้ท้อบ้าง เหนื่อยบ้าง หงุดหงิดใจบ้าง
บางคนก็เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อหนีปัญหา
การเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร หากเปลี่ยนเพราะได้สิ่งที่ดีกว่าเดิม
แต่หาก เพียงเพราะต้องการหนีปัญหาจากงานที่ทำอยู่ หรือสิ่งที่พบเจออยู่
ก็กลายเป็นเหมือนวิ่งหนีโดยไร้จุดหมาย
เพราะเราไม่สามารถแน่ใจได้หรอกว่า เราจะไม่เจอปัญหาเดิมๆอีก

ปัญหาเกิดได้ทุกที่ ทุกโอกาส
คนฉลาด คือผู้ไม่กลัว และกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านั้น
เพราะเขารู้ว่าทุกปัญหา มีทางออก 
เพียงแต่เราแค่ต้องหาทางจัดการกับปัญหาให้ถูกวิธีเท่านั้น

วันนี้เลยอยากเสนอหนึ่งในวิธีการแก้ปัญหา ที่สามารถทำได้ง่ายๆ และใช้ได้ผลคือ

'การเปลี่ยนมุมมองความคิดให้ถูกต้อง'

บางครั้งปัญหาอาจแก้ได้ง่ายๆ เพียงแค่เราเปลี่ยนทัศนคติของเราซะใหม่ 
เช่น เรามักจะรำคาญกับความจู้จี้ ขี้บ่น ของเจ้านาย 
แต่ถ้าเราเปลี่ยนความคิด และมองว่า 
ความจู้จึ้ของเจ้านาย จะช่วยฝึกให้เรามีความละเอียดรอบคอบเพิ่มขึ้น 
และสามารถทนต่อสภาวะภายใต้ความกดดันได้ดี
เหมือนเป็นการพัฒนาศักยภาพของตัวเองในอีกด้านหนึ่ง
เท่านี้เราก็จะไม่เอาเรื่องการถูกว่า ถูกบ่นมาเป็นอารมณ์ให้เศร้า ให้ทุกข์ใจ

เช่นเดียวกับ การที่เราอาจเจอรถติดมากๆ ระหว่างเดินทางไปทำงาน
ทำให้เราหงุดหงิด หรือหัวเสีย พาลจะอาละวาดคนเดียวอยู่ในรถ หรือหงุดหงิดใส่คนรอบข้าง
เพียงแค่เราคิดซะว่า ให้เราหงุดหงิด หรือ หัวเสียแทบตาย
หรือตะโกนร้องด่ารถคันอื่นๆที่มาแทรก มาแซงปาดหน้า 
ก็ไม่ได้ช่วยให้รถหายติด หรือ ถนนโล่งขึ้น 
มีแต่จะเพิ่มก้อนทุกข์ใส่ตัวมากขึ้นๆ

ในเมื่อเราเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมภายนอกไม่ได้
ก็เปลี่ยนเสียที่ตัวเรานี่แหละ ที่ใจของเราก่อน
คิดเสียว่า เราไม่ได้รถติดอยู่คนเดียวเสียหน่อย
มีอีกตั้งหลายคนที่ติดเหมือนกับเรานี่แหละ
แทนที่จะเอาเวลามานั่งทุกข์
หันไปเปิดเพลงฟังให้ผ่อนคลาย 
หรือฟังข่าวสาร เพิ่มความรู้ให้ตัวเอง 
เรียกว่าใช้เวลาที่มีอยู่อย่างสร้างสรรค์ 

มีนักเขียนชาวอเมริกันท่านหนึ่ง เขียนหนังสือเกี่ยวกับ ความมหัศจรรย์แห่งความคิดที่ถูกต้อง
ได้กล่าวไว้่ประโยคหนึ่งว่า
"When the mind is changed the man is changed."

คนคนหนึ่งสามารถเปลี่ยนชีวิตของตนเอง
จากหน้ามือเป็นหลังมือได้
เพียงแค่เปลี่ยนความคิด

ยังไม่ได้บอกให้เชื่อว่าทำได้จริงหรือไม่
แต่ขอให้ลองไปใช้กับตัวเองดู
ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร 
คุณเท่านั้นแหละที่จะพิสูจน์ได้เอง



ปล. ใครสนใจอ่านเรื่อง the Miracle of Right Thought ก็ ไปอ่านได้ตาม ลิงค์นี้นะ http://www.mrrena.com/misc/miracle7.php






วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Transformer 3

ครั้งแรกในเมืองไทยที่ไปดูหนังคนเดียว แถมเป็นรอบดึกด้วย >,<,,
เพราะอยากรู้สึกผ่อนคลายเรื่องเครียดๆออกไปจากสมอง
แต่ก็หาคนไปดูด้วยไม่ได้
สุดท้ายก็ลงเอยที่ไปคนเดียว (ก็ได้)

ได้รอบ 8.20pm ที่พารากอน
หนังยาว 3 ชั่วโมง แถมเป็น 3D ก็นั่งดูจนตาแฉะเลยล่ะ

แต่ก็รู้สึกว่าคุ้มนะ ที่ไปดู
ฟังๆแต่คนอื่นๆเล่าว่า ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ตามแต่รสนิยมส่วนบุคคล
แต่ถ้าถาม
อยากบอกว่า เป็นหนังที่ดีที่สุดเท่าที่ดูมาในรอบปีนี้เลยล่ะ
เลยอยากขอ Review หนังตามความคิดแบบบ้านๆ ของคนชอบดูหนังนะ

โดยเอาเฉพาะสิ่งที่คิดว่าดี และได้จากหนังเรื่องนี้นะ
เป็นที่รู้ๆกันดีอยู่แล้วว่า Special Effect แสง สี เสียง ของเรื่องอลังการมาก ภาพสวย สมจริงดี
อย่างน้อย แค่เข้าไปดูฉากการต่อสู้ แต่ละฉาก ก็ถือว่าคุ้มแล้ว เพราะของเค้่าดีจริง

แต่หนังเรื่องนี้ ไม่ใข่แค่เข้าไปดู หุ่นยนต์สู้กัน แต่ยังมีข้อคิดดีๆที่ได้จากเนื้อหาของเรื่องด้วย
1. เรื่องของความปรองดอง และสามัคคี
นี่ถือเป็นพล็อตหลักของเรื่องก็ว่าได้
ที่สะท้อนความสำคัญเรื่องความปรองดอง และสามัคคีผ่านทางเรื่องราวของหนัง
เมืองไทย ทุกวันนี้พูดกันเยอะ เรื่องความปรองดอง หรือ สมานฉันท์
แต่จะมีสักกี่คน ที่คิดและทำอย่างจริงๆจังๆ ที่จะ สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในประเทศ
จึงอยากสะท้อนแง่คิดจากหนังเรื่องนี้ ให้เข้าไปถึงใจของคนไทยหลายๆคน


2. ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูที่แท้จริง
ผู้ที่เคยเป็นมิตรกับเรา อาจกลับมาแทงเราข้างหลัง
ในทางกลับกัน ผู้ที่เคยเป็นศัตรูคู่แค้นกัน อาจกลับกลายเป็นมิตรกันได้ภายหลัง

3. มิตรที่ดี จะสามารถพึ่งพาได้ในยามยาก
จะเห็นว่า มีแต่มิตรแท้ ที่จะช่วยเหลือในยามยาก ไม่หน่ายหนี
แต่มิตรลวง มักอยู่ใกล้ยามดี แต่หนีหายยามยาก

4. อย่าเชื่อใจคนพาลผู้ขึ้นชื่อว่า เป็นคนพาลแล้ว ย่อมไม่ซื่อสัตย์ และนำภัยมาแก่ผู้แวดล้อม

5. ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนที่ดีที่สุด
ก่อนหวังจะขอความช่วยเหลือจากใคร หรือหันพึ่งใคร
ควรพยายามพึ่งตนเองให้มากที่สุดก่อน
เพราะไม่ว่าคนที่รักเราแค่ไหน ก็ไม่สามารถช่วยเราได้เสมอไป

ถ้าตัวเรายังไม่คิดหาทางช่วยตัวเอง
แล้วใครที่ไหนจะมาช่วยเรา

ฉะนั้น คนที่จะเป็นที่พึ่งให้แก่เราได้ดีที่สุด ก็คือ ตัวเรานั่นเอง
สองมือ สองเท้า และหนึ่งสมอง หรือสติปัญญา
คือที่พึ่งที่ดีที่สุดของเรา


ดูหนัง จะดูให้เพลิดเพลินก็ได้
ดูให้มีสาระก็ได้
ดูให้เกิดผล เกิดประโยชน์กับตนเอง ก็เป็นหนังที่ดีทั้งนั้น
ขอให้สนุกกับการดูหนังกันทุกคนนะคะ ^___^

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เปราะบาง ตนของตน และความเข้มแข็ง

ในแต่ะละวัน
เราอาจต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆมากมายที่อาจก่อให้เกิด
ความเครียด อารมณ์ปรวนแปร ความอ่อนแอ
ความเศร้า ความหดหู่
หรืออารมณ์ไม่พอใจ โกรธ หรือ หงุดหงิด

หลายๆครั้งที่เราต้องเผชิญหน้า และอดทนหรือ อดกลั้นกับสิ่งเหล่านี้เพียงลำพัง
แต่ละคน ก็มีการจัดการกับอารมณ์เหล่านี้ในรูปแบบต่างๆกันไป
บางคนหาทางออก ปลดปล่อยอารมณ์นั้นด้วยอาการต่างๆ
บ้างเข้าหากิจกรรมบันเทิง เริงใจต่างๆ ตามแต่ความชอบส่วนตัว
บ้างหวังพึ่งศาสนา หรือหลักปรัชญาต่างๆ
แต่ส่วนใหญ่มักนึกถึงคนใกล้ตัว เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนสนิท หรือ คนรู้ใจ
อาจเพราะ เวลาที่มีปัญหา หรือไม่สบายใจ
เพียงแค่ได้พูดคุย หรือ ระบายสิ่งที่อัดอั้นในใจออกไป ก็ช่วยให้ผ่อนคลายได้ในระดับหนึ่ง


แต่...

การหวังพึ่งพาคนรอบข้าง อาจไม่ช่วยเสมอไป
เพราะเมื่อคนเหล่านั้น อาจไม่มีเวลาใส่ใจ
หรือบางคนรำคาญ หรือเบื่อ ที่จะต้องรับฟัง
สิ่งเหล่านี้ อาจกลับกลายเป็นตอกย้ำ หรือ ก่อให้เกิดปัญหาใหม่ๆตามมา

เพราะไม่มีใคร ที่สามารถช่วยเราได้ตลอดเวลา
แม้บางคนที่เคยช่วยเราได้
ก็อาจช่วยเราไม่ได้ในครั้งต่อไป

ดังนั้น


วิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยดับ หรือ บรรเทาปัญหาในใจของตนเองได้
นั่นคือแก้ที่เหตุ
เหตุเกิดที่ใด ก็ดับมันที่นั่น
การพึ่งที่ดีที่สุด คือการพึ่งตนเอง
เพราะตัวของเราเองนี่แหละ ที่จะไม่ทรยศ หักหลังตัวเอง

อย่ากลัวที่จะต้องพจญกับปัญหาต่างๆ เพียงลำพัง
ถ้าเราสู้ เราจะพบว่า เราเข้มแข็งขึ้นทุกครั้งทีี่ผ่านปัญหาเหล่านั้นไปได้
Good luck on your side!

Yes,you got to be strong
And be all the best you can
The world is out there,conquer your fears
And don't you wait too long



วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คนละทาง

ผิดเหรอ ที่อยากอวดคนรัก ให้เพื่อนๆได้เจอ
ผิดเหรอ ที่อยากแนะนำ คนรัก ให้เพื่อนได้รู้จักไว้
ผิดเหรอ ที่เวลาเจอกับคนที่รัก ก็อยากที่จะอยู่ด้วยกันนานๆ
ผิดเหรอ ที่อยากแชร์ เรื่องราวต่างๆของเราให้คนที่รักได้รับรู้

น่าเสียใจนะ ที่การพาเค้าไปเจอเพื่อนๆเรา

            ...กลายเป็นเรื่องเสียเวลาของเขา
น่าเสียใจนะ ที่การที่แนะนำเค้าให้เพื่อนๆเรา

            ...กลายเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะก็แค่เพื่อนเราไม่ใช่เพื่อนเค้า

น่าเสียใจนะ ที่การอยากใช้เวลาอยู่กับเค้านานๆ

             ...กลายเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อสำหรับเค้า

น่าเสียใจนะ ที่การอยากแชร์เรื่องราวต่างๆ

             ...กลายเป็นเรื่องน่ารำคาญที่เค้าไม่อยากสนใจ

ตลกนะ ที่เรื่องราว หรือ เหตุการณ์ที่เจอะเจอพร้อมกัน 
แต่สามารถถูกถ่ายทอดได้คนละแบบ

ตลกนะ ที่เมื่อคนสองคน สามารถมองเรื่องราวได้ต่างกันอย่างสุดขั้ว

ตลกนะ ที่เมื่อความรู้สึกที่มีให้กัน มันกลายเป็นขั้วบวก และ ขั้วลบ

ตลกนะ ที่เมื่อ ต่างฝ่าย ต่างขั้ว มาชนกัน 
สุดท้ายก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดนผลักออกมา

ลงท้าย...

ก็แค่ ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ต้องเสียใจ
ก็แค่ ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ต้องเสียน้ำตา
ก็แค่ หัวใจดวงใดดวงหนึ่งต้องแตกสลายไป
ก็แค่...คนคนหนึ่งก็ต้องนั่งเหงา เพียงลำพัง

ไม่มีคนไหนในโลกใบนี้ ที่เหมือนกันได้ทุกอย่าง
แม้กระทั่งฝาแฝด ก็ยังมีส่วนที่ต่างกัน
แต่คนสองคนที่ได้มาเจอกัน
จะสามารถถักทอความสัมพันธ์
และสานความรักให้ดำรงอยู่ได้ก็ด้วย ความเข้าใจ และการยอม

ยอมที่จะวางทิฐิของแต่ละคนลง
ยอมที่จะ เดินเข้าหากันคนละครึ่งทาง
ยอมที่จะรับฟัง ความรู้สึก และความคิดเห็นของอีกฝ่าย
ยอมที่จะ จับมือ และเดินไปข้างหน้าพร้อมๆกัน


วันนี้คุณพยายามเข้าใจ และ 'ยอม' คนที่คุณรักหรือยัง
หรือ คนคนนั้นกลายเป็นแค่ คนที่คุณ 'เคย' รัก ไปแล้ว