วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วิธีเอาชนะความกลัว ตอน 3

แอบดองเรื่องนี้มาซะหลายวัน วันนี้เลยรีบปั่นส่งก่อน
เมื่อตอนที่แล้ว กล่าวถึงวิธีการเอาชนะความกลัวแบบที่สอง
คือ การย้ายความสนใจของจิตไปอยู่ที่สิ่งอื่น 
จิตก็จะลืมที่จะกลัว ไปได้ช่วงหนึ่งๆ
ตราบเท่าที่ความสนใจ ในสิ่งนั้นๆยังแรงกล้ากว่า ความกลัว
อย่างไรก็ตาม ความกลัวก็ยังไม่หมดไป
แค่ระงับให้ไม่กลัวได้ชั่วขณะหนึ่งๆที่จิตมุ่งความสนใจไปที่สิ่งอื่น

วิธีเอาชนะความกลัวแบบที่สามนั้น
ได้ถูกกล่าวเอาไว้ว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด และอาจจะง่ายและเหมาะที่สุดในการทำให้เกิดผล
นั่นคือ...การตัดที่ต้นเหตุแห่งความกลัวเสีย
สองวิธีแรก คือการข่มความกลัว โดยการพึ่งพาสิ่งภายนอก
แต่ไม่ได้ตัดที่ ต้นตอของปัญหา หรือก็คือที่มาของความกลัว
ดังนั้น พอสิ่งภายนอกนั้นๆ
ไม่สามารถพึ่งได้ ก็ต้องหาสิ่งใหม่อยู่เรื่อยไป


...มีเรื่องเล่าอยู่ว่า
มีชายผู้หนึ่ง เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก
จึงตัดสินในออกบวช และตั้งปณิธานกับตนเองว่าจะบวชไม่สึก
และเพราะต้องการหาความสงบเพื่อปลีกวิเวก และปฎิบัติธรรมได้อย่างเต็มที่
จึงเลือกที่จะอยู่กระท่อมในสุดของวัด ซึ่งเป็นกระท่อมร้าง ไม่ค่อยมีผู้คน
วันที่เข้าไปจำวัด ก็จัดการปัดกวาดเช็ดถูจนสะอาดสะอ้าน 
แต่ระหว่่างที่กำลังทำความสะอาดนั้น ก็เจอหนูตัวหนึ่งวิ่งผ่านไป
ด้วยความที่ภิกษุรูปนี้กลัวหนูมากตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นฆราวาส จึงปราสว่า
เจ้าหนูตัวนี้จะเป็นสิ่งรบกวนการปฎิบัติธรรมของเรา 
เพราะทุกครั้งที่หนูตัวนี้โผล่มา เราก็จะหวาดกลัวจนไม่สามารถทำจิตให้นิ่งได้
ดังนั้น ภิกษุจึงตัดสินใจหาทางแก้ไม่ให้หนูโผล่มา โดยการนำแมวมาเลี้ยง
ซึ่งปรากฎว่าได้ผลดี เพราะหนูก็ไม่กล้าโผล่เข้ามาในกุฎิอีก
แต่กลับเกิดปัญหาใหม่ เพราะเมื่อมีแมว
ภิกษุก็ต้องง่วนกับการเลี้ยงแมว 
คอยหาข้าวหานำ้ให้กิน คอยดูแลไม่ให้แมวเล่นซนบนกุฎิจนสกปรกเละเทะ
พระภิกษุก็พบว่าตนเสียเวลาไปวันๆหนึ่ง กับการคอยดูแลแมว 
จนไม่เหลือเวลาไปมุ่งมั่นกับการปฎิบัติธรรม
ดังนั้น จึงตัดสินใจ จ้างเด็กสาวชาวบ้าน ซึ่งบ้านอยู่ละแวกนั้น ให้ช่วยดูแลแมว
เด็กสาวมาคอยดูแลแมวให้เป็นอย่างดีทุกวัน ซ้ำยังช่วยทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูกุฏิให้
ด้วยความที่เห็นหน้ากันทุกวัน ความสนิทสนมของทั้งสองก็เริ่มเกิดขึ้น
วันหนึ่งภิกษุก็เผลอไผล มีความสัมพันธ์กับเด็กสาว
จนต้องสึกออกมา เพื่อแต่งงานอยู่กินกับเด็กสาวแทน
สุดท้ายต้องมานั่งเสียใจว่า
เพียงแค่หนูตัวเดียว ทำให้ไม่สามารถตั้งใจปฏิบัติธรรม ตามที่ตั้งใจไว้แต่แรกได้...


จะเห็นว่า ภิกษุพยายามแก้ปัญหาความกลัวของเขา โดยพึ่งพาจากปัจจัยภายนอก
ซึ่งไม่สามารถที่จะควบคุมได้
พอปัญหาเกิดขึ้น ก็แก้โดยพึ่งพาปัจจัยภายนอกอีก 
และก็วนเวียนอยู่แบบนั้นไม่รู้จบ

ซึ่งในแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่ง่ายที่สุดในการจัดการปัญหานี้คือ การจัดการที่ต้นเหตุ
หรือความกลัวของภิกษุรูปนี้นั่นเอง

โดยอันดับแรกคือการหาสาเหตุว่าเพราะอะไรถึงกลัว
ซึ่งคำตอบอาจมีมากมาย หลายประการ
แต่แท้ที่จริงนั้น ความกลัวก็เป็นสิ่งที่ เกิดมาจากมูลเหตุอันสำคัญอันเดียว
เพราะว่า ความกลัว ก็เป็นพวกเดียวกันกับ ความหลง (โมหะ หรือเข้าใจผิด)
มูลเหตุอันเดียวที่ว่านั้น ก็คือ อุปาทาน  

ความยึดถือต่อตัวเองว่า ฉันมี ฉันเป็น นั่นของฉัน นี่ของฉัน เป็นต้น  
เมื่อมี "ฉัน" ขึ้นมาในสันดานแล้ว "ฉัน" ก็อยากนั่น อยากนี่
อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยากไม่ให้ เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ 
ฉันกลัวโดนทำร้าย กลัวเจ็บ กลัวตาย หรือ กลัวต่างๆนาๆ
ความยึดถือว่า ฉันเป็นฉัน เหล่านี้เป็น มูลเหตุของความกลัว
ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว ก็กวาดความสดใส ชุ่มชื่นเยือกเย็น ให้หมดเตียนไปจากดวงจิตนั้น 

เมื่อพบว่า ต้นเหตุของความกลัว ที่แท้จริงนั้น ก็มาจาก "ฉัน" 
ต่อมาคือ การจะตัดต้นเหตุนั้น 
โดยแบ่งลำดับการกระทำ ออกเป็นสองชั้น
ตามความสูงต่ำ แห่งปัญญา หรือความรู้ ของคนผู้เป็นเจ้าทุกข์ 

ประการที่ได้ผลเร็วและตรงที่สุด คือการตรงเข้าทำลาย อุปาทาน 
สำเร็จได้ด้วยการปฏิบัติธรรมทางใจ ให้ก้าวหน้าสูงขึ้นตามลำดับๆ
จนกว่าจะหมดอุปาทาน
ซึ่งเมื่อทำลายได้แล้ว
ความทุกข์ทุกชนิด จะพากันละลายสาบสูญไปอย่างหมดจด
 ผู้ที่สามารถทำประการนี้ได้สำเร็จ คือผู้ที่บรรลุพระธรรม
หรือคือพระอรหันต์
ดังนั้นวิธีการนี้ยังไม่เหมาะสำหรับปุถุชนทั่วไป

อีกวิธีหนึ่งคือ การพยายาม เพียงบรรเทาต้นเหตุให้เบาบางไปก่อน
ได้แก่ การสะสางมูลเหตุนั้น ให้สะอาดหมดจด ยิ่งขึ้น
การพยายาม ประพฤติ ความดี ทั้งทางโลก และทางธรรม
ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ จนตนติเตียนตนเองไม่ได้ 
ใครที่เป็นผู้รู้ แม้จะมีทิพยโสต หรือทิพยจักษุ มาค้นหา ความผิด เพื่อติเตียนก็ไม่ได้ 

ดังนี้แล้ว ก็จะเป็นผู้เชื่อถือ และเคารพตัวเองได้เต็มเปี่ยม 
ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนท่าน
ไม่มีเวรภัยที่ผูกกันไว้กับใคร   
เป็นผู้รู้กฏความจริงของโลก 
มีความหนักแน่น มั่นใจให้แก่ตัวเอง ในหลักการครองชีพ และรักษา ชื่อเสียง
หรือคุณความดี 
พยายามทำแต่สิ่งที่เป็นธรรมด้วย ความหนักแน่น เยือกเย็น
ไม่เปิดโอกาสให้ใครเหยียดหยามได้ ก็จะไม่ต้องเป็นโรคใจอ่อน หรือโรคประสาท
เพราะมีความ แน่ใจตัวเอง เป็นเครื่องป้องกัน และสำเหนียก อยู่ในใจ เสมอว่า
สิ่งทั้งปวงเป็น อนัตตา เป็นไปตามเรื่อง คือ เหตุปัจจัยของมัน ไม่เป็นของแปลก
หรือได้เปรียบ เสียเปรียบ อะไรแก่กัน 
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความกลัว ก็หมดไป 
ใจได้ที่พึ่ง ที่เกษม ที่อุดม ยิ่งขึ้น  

  
สมตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนไว้ดังนี้
ผู้ใดที่ถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว
  เห็นอริยสัจทั้งสี่ ด้วยปัญญาอันถูกต้อง คือ เห็นทุกข์ เห็นเหตุ
  เครื่องให้เกิดทุกข์ เห็นการก้าวล่วงไปเสียได้จากทุกข์ และ
  เห็นหนทาง อันประกอบด้วยองค์แปดประการ อันประเสริฐ
  อันเป็นเครื่องยังผู้นั้น ให้เข้าถึง ความรำงับแห่งทุกข์ นั่นแหละ
  คือ ที่พึ่งอันเกษม นั่นแหละ คือที่พึ่งอันสูงสุด
  ผู้ใด ถือเอา ที่พึ่ง นั้นแล้ว ย่อมหลุดพ้น จากทุกข์ทั้งปวงได้ (ธ. ขุ. ๔๐)
 
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
ใครที่ยังมีทุกข์อันเกิดจากความกลัว
ก็ขอให้การอ่านบทความนี้ ช่วยบรรเทาเบาคลายความทุกข์นั้นๆไม่มากก็น้อย


หมายเหตุ: ผู้เขียนได้แรงบันดาลใจในการเขียน จากบทความของท่านพุทธทาสภิกขุ โดยนำมาดัดแปลงและเขียนเพิ่มเติมในไสตล์ของตนเอง ใครสนใจอ่านบทความเต็มๆของท่านพุทธทาสฯ สามารถอ่านได้จากที่นี่ http://www.buddhadasa.com/shortbook/fearghost.html ท้ายนี้ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่สนใจ ใคร่ศึกษาในพระธรรม และมุ่งปฏิบัติแต่สิ่งที่ดี และสิ่งที่ชอบ -/\-




วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วิธีีเอาชนะความกลัว ตอน 2

ตอนที่แล้วพูดถึงเรื่องวิธีการเอาชนะความกลัววิธีแรก
ซึ่งถ้าเปรียบเป็นลำดับขั้น ก็เหมือนเป็นระดับอนุบาล
คือเด็กๆก็ทำได้ แค่สร้างความเชื่อ หรือศรัทธาให้เกิดขึ้น

วิธีที่สอง คือการส่งใจไปที่อื่นเสีย หรือการผูกมัดกับสิ่งอื่น
วิธีนี้ เพิ่มระดับความยากขึ้นมาอีกนิด
เพราะอยู่ในชั้นที่จัดเป็นกุศโลบาย 
เหมือนเราเป็นแม่ทัพ ต้องวางแผนการรบเพื่อไปต่อสู้กับศัตรู
แต่ศัตรูในที่นี้ คือตัวเราเอง
หรือก็คือใจที่กำลัวกลัวของเราเอง 
 โดยการส่งความนึกคิดของใจไปอยู่ที่อื่นเสีย

เอาตัวอย่างง่ายๆจากในหนัง เรื่อง Harry Potter 
จากหนังเราได้รู้ว่า Harry ตัวเอกของเรื่อง รอดตายมาได้ 
เพราะแม่ของเขาปกป้องโดยเอาชีวิตเข้าแลก
แม่เขา Harry ไม่กลัวตายหรือ ก็เปล่า
แต่เพราะ ณ ตอนนั้น ใจของเธอมุ่งไปที่ลูก
ห่วงลูก รักลูก จึงลืมกลัว 
ลืมกลัวทุกอย่าง แม้กระทั่งความตาย ขอเพียงได้ปกป้อง ลูกอันเป็นที่รัก

ในพระพุทธศาสนา
 
การนั่งสมาธิ ก็จัดอยู่ในวิธีนี้เช่นกัน
อาการที่สงบใจไว้ด้วยสมาธินั้น เป็นอุบายข่มความกลัว ได้สนิทแท้
เพราะว่า ในขณะแห่งสมาธิ ใจไม่มีการคิดนึก อันใดเลย
นอกจากจับอยู่ที่สิ่งซึ่งผู้นั้น ถือเอาเป็นอารมณ์ หรือนิมิต
ที่เกาะของจิตอยู่ในภายในเท่านั้น 

 
พระผู้มีพระภาคทรงสอนให้ระลึกถึงพระองค์
หรือพระธรรม หรือพระสงฆ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง
ในเมื่อภิกษุใดเกิดความกลัวขึ้นมา ในขณะที่ตนอยู่ในที่เงียบสงัด
เช่นในป่าหรือถ้ำ เป็นต้น
  
ซึ่งการที่พระองค์สอนให้ระลึกถึงพระองค์
หรือพระธรรม พระสงฆ์ ตามนัยแห่งบาลี ธชัคคสูตรนั้น ก็หมายถึง
พุทธานุสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ อยู่แล้ว
แม้ว่าจะเป็นเพียง อุปจารสมาธิ ยังไม่ถึงขึดฌาณก็ตาม
ล้วนแต่ต้องการความชำนาญ
จึงอาจเปลี่ยนอารมณ์ที่กลัวให้เป็นพุทธานุสสติ เป็นต้นได้ 

แต่ว่าใจที่ เต็มไป ด้วยความกลัว ยากที่จะเป็นสมาธิ
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นสมาธิ ที่ชำนาญ อย่างยิ่งจริงๆ
จนเกือบกลายเป็นความจำอันหนึ่งไป พอระลึกเมื่อใด
นิมิตนั้นมาปรากฏเด่นอยู่ที่ "ดวงตาภายใน" ได้ทันที
นั่นแหละ จึงจะเป็นผล 
 
สมาธิ ที่เป็นได้ถึงฌาณ เช่น พรหมวิหาร เป็นต้น
เมื่อชำนาญแล้ว สามารถที่จะข่มความกลัว ได้เด็ดขาดจริงๆ
ยิ่งโดยเฉพาะ เมตตา พรหมวิหาร ยิ่งเป็นไปได้ง่ายที่สุด 

อย่างไรก็ตาม วิธีนี้เป็นเพียงการข่มเอาไว้เท่านั้น
เชื้อของความกลัวยังไม่ถูกรื้อถอนออก
เมื่อหยุดข่มเมื่อใด ความกลัวก็เกิดขึ้นตามเดิม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ไม่ได้ฝึกสมาธิจนชำนาญ
ก็ไม่สามารถสามารถข่มความกลัวได้อย่างเต็มที่
ถ้าสมาธิไม่แรงกล้าเท่า อาการกลัว

พรุ่งนี้จะต่อวิธีสุดท้าย
ซึ่งวิธีนี้ถือว่าเป็นขั้นสูง แต่น่าประหลาดที่ว่า
เป็นวิธีที่อาจเหมาะกับเราๆท่านๆ ที่เป็นคนธรรมดา
และยังได้ผลดีกว่าด้วย

^______^
 


วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วิธีเอาชนะความกลัว ตอน1

คงจะหายากเต็มที ที่จะเจอคนคนหนึ่งที่ ไม่เคยกลัวอะไรเลย
บางคนกลัวสัตว์ต่างๆ เช่น แมลง หนู งู ตะขาบ จิ้งจก ตุ๊กแก 

บางคนกลัวความมืด
บางคนกลัวที่แคบ
บางคนกลัวฟ้าร้อง ฟ้าผ่า
แม้กระทั่ง กลัวการเจ็บป่วย หรือ กลัวตาย
และอื่นๆอีก มากมาย


ลักษณะอาการกลัว ก็ต่างกันไปตามแต่บุคคลนั้นๆ

คนกลัวฟ้าร้อง พอฝนตกฟ้าแลบที ก็รีบหลบอยู่ใต้ผ้าห่ม นอนตัวสั่น
คนกลัวแมลงสาป พอแค่เจอ ในระยะร้อยเมตร ก็ร้องกรี๊ดๆลั่นบ้าน หรือกระโดดขึ้นเก้าอี้
คนกลัวที่แคบ บางคนพอต้องอยู่ในที่แคบก็มีอาการเหงื่อออก หน้ามืด มากๆเข้าก็หมดสติไปเลย

ทำไมคนถึงเกิดอาการกลัวขึ้น
ทางพุทธศาสนากล่าวเอาไว้ว่า
ความกลัว ล้วนถูกสร้างขึ้นด้วยสัญญาในอดีตของตัวเรานั่นเอง
สัญญา คือ การจำได้ หรือ การหมายรู้ได้

เช่นคนกลัวหมา เพราะตอนเด็ก เคยถูกหมากัดจนเลือดออก ร้องไห้จ้า
ถึงแม้ว่าเรื่องจะผ่านไปนานแค่ ไหน หรือ หมาจะเป็นคนละตัว
หรือ แม้เราเองอาจจะลืมไปแล้ว
แต่ความกลัวนั้นยังฝังอยู่ในสัญชาติญาณของเรา อยู่ในร่างกายของเรา
เจอหมาอีกครั้งทีไร สัญชาติญาณนั้น ก็จะบอกจิตให้ระลึกได้
ความกลัวว่าจะโดนกัดซ้ำ แล้วเจ็บอีก ก็เกิดขึ้น
เป็นเหตุให้ กลัวที่จะเข้าใกล้ หมา หรือเลี่ยงที่จะไม่เผชิญหน้ากับมัน

จริงๆแล้วมันไม่แปลกหรอก ที่จะกลัว
อาจจะแปลกเสียอีก ถ้าไม่กลัวอะไรเลย 
แต่ถ้าความกลัวนั้น ทำให้เราเป็นทุกข์ที่ครั้งที่เกิดขึ้น 
หรือถ้าทำให้คุณภาพชีวิตของเราแย่ลง
ก็ลองหาวิธีที่จะเอาชนะความกลัวนั้นๆ

มีวิธีหลักๆในแก้ความกลัว ซึ่งสรุปได้อยู่ 3 ประการ
๑. สร้างความเชื่ออย่างเต็มที่ ในสิ่งที่ยึดเอาเป็นที่พึ่ง
๒. ส่งใจไปเสียในที่อื่น ผูกมัดไว้กับสิ่งอื่น
๓. ตัดต้นเหตุ ของความกลัวนั้นๆ เสีย

วิธีแรก คือ สร้างความเชื่อ หรือศรัทธาอย่างแรงกล้าในสิ่งที่ยึดไว้เป็นที่พึ่ง
วิธีนี้เป็นวิธีแบบง่ายๆ ที่นำมาใช้เพื่อสร้างความผ่อนคลาย หรือ เบาใจจากอาการกลัวที่เกิดขึ้น
โดยการหาที่พึ่งอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เราเชื่อว่าจะสามารถป้องกันเราจากสิ่งที่หวาดกลัวได้
เพื่อความเบาใจของตน ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง 
เช่น คนกลัวผี ก็อาจเชื่อว่าถ้าแขวนพระแล้วจะช่วยคุ้มครองจากผีได้

วิธีนี้ จะได้ผลดีก็ต่อเมื่อตนเองยังมีความเชื่อมั่นคงอยู่ 
ซึ่งถ้าความเชื่อนั้นทวีแรงกล้า ก็อาจคล้ายเป็นการหลอกตัวเอง
ให้เห็นสิ่งที่ควรกลัวกลายเป็นสิ่งที่ไม่ควรกลัวไปก็ได้
 
เล่ากันมาว่า เคยมีคนๆ หนึ่ง อมพระเครื่อง เข้าตะลุมบอน ฆ่าฟันกัน
เชื่อว่า ทำให้อยู่คง ฟันไม่เข้า ซึ่งดูเหมือนได้ผล เป็นที่น่าพอใจ เขาจริงๆ
ขณะหนึ่ง พระตกจากปากลงพื้นดิน ในท้องนา
ตะลีตะลานคว้าใส่ปากทั้งที่เห็นไม่ถนัด
แทนที่ จะได้พระ กลับเป็นเขียดตัวหนึ่ง เข้าไปดิ้นอยู่ในปาก
ก็รบ เรื่อยไป โดยยิ่งเชื่อมั่นขึ้นอีกว่า พระในปาก แสดงปาฏิหาริย์
ดิ้นไปดิ้นมา เมื่อเลิกรบ รีบคายออกดู เห็นเป็นเขียดตาย
ก็เลยหมดความเชื่อ ตั้งแต่นั้นมา
ไม่ปรากฏว่า พระเครื่ององค์ใด ทำความพอใจ ให้เขาได้อีก 

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า วิธีนี้ ไม่ใช่ ที่พึ่ง อันเกษม คือ
ทำความปลอดภัยให้ได้อย่างแท้จริง
ไม่ใช่ วิธีสูงสุด, เนตํ สรณํ เขมํ เนตํ สรณมุตฺตมํ

อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นวิธีแก้ไขความกลัวได้เบื้องต้น แบบง่ายๆในระดับหนึ่ง

พรุ่งนี้จะมาเล่าถึงวิธีอื่นๆ ต่อไปค่ะ

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ปัญหา แก้ไม่ยาก

คงไม่แปลกหรอก
ที่หลายๆครั้งเราจะบ่น หรือ เหนื่อยหน่ายกับงานที่ทำ
หรือทุกข์ เศร้า กับปัญหาต่างๆที่พบเจอในแต่ละวัน
เจอลูกค้างี่เง่า
เจอเจ้านายเจ้าอารมณ์ จู้จี้ ขี้บ่น
เจอเพื่อนร่วมงานชอบเกี่ยงงาน
เจอลูกน้องชอบอู้ ขึ้เกียจ
เจอรถติด ฝนตก ถนนลื่น น้ำท่วม สะพานปิดซ่อม 
ทะเลาะกับพ่อแม่
ผิดใจกับแฟน
อกหัก โดนทิ้ง
บลา บลา บลา...

อุปสรรค และปัญหาต่างๆนาๆที่ต้องเจอะเจอในแต่ละวัน
ทำให้ท้อบ้าง เหนื่อยบ้าง หงุดหงิดใจบ้าง
บางคนก็เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อหนีปัญหา
การเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร หากเปลี่ยนเพราะได้สิ่งที่ดีกว่าเดิม
แต่หาก เพียงเพราะต้องการหนีปัญหาจากงานที่ทำอยู่ หรือสิ่งที่พบเจออยู่
ก็กลายเป็นเหมือนวิ่งหนีโดยไร้จุดหมาย
เพราะเราไม่สามารถแน่ใจได้หรอกว่า เราจะไม่เจอปัญหาเดิมๆอีก

ปัญหาเกิดได้ทุกที่ ทุกโอกาส
คนฉลาด คือผู้ไม่กลัว และกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านั้น
เพราะเขารู้ว่าทุกปัญหา มีทางออก 
เพียงแต่เราแค่ต้องหาทางจัดการกับปัญหาให้ถูกวิธีเท่านั้น

วันนี้เลยอยากเสนอหนึ่งในวิธีการแก้ปัญหา ที่สามารถทำได้ง่ายๆ และใช้ได้ผลคือ

'การเปลี่ยนมุมมองความคิดให้ถูกต้อง'

บางครั้งปัญหาอาจแก้ได้ง่ายๆ เพียงแค่เราเปลี่ยนทัศนคติของเราซะใหม่ 
เช่น เรามักจะรำคาญกับความจู้จี้ ขี้บ่น ของเจ้านาย 
แต่ถ้าเราเปลี่ยนความคิด และมองว่า 
ความจู้จึ้ของเจ้านาย จะช่วยฝึกให้เรามีความละเอียดรอบคอบเพิ่มขึ้น 
และสามารถทนต่อสภาวะภายใต้ความกดดันได้ดี
เหมือนเป็นการพัฒนาศักยภาพของตัวเองในอีกด้านหนึ่ง
เท่านี้เราก็จะไม่เอาเรื่องการถูกว่า ถูกบ่นมาเป็นอารมณ์ให้เศร้า ให้ทุกข์ใจ

เช่นเดียวกับ การที่เราอาจเจอรถติดมากๆ ระหว่างเดินทางไปทำงาน
ทำให้เราหงุดหงิด หรือหัวเสีย พาลจะอาละวาดคนเดียวอยู่ในรถ หรือหงุดหงิดใส่คนรอบข้าง
เพียงแค่เราคิดซะว่า ให้เราหงุดหงิด หรือ หัวเสียแทบตาย
หรือตะโกนร้องด่ารถคันอื่นๆที่มาแทรก มาแซงปาดหน้า 
ก็ไม่ได้ช่วยให้รถหายติด หรือ ถนนโล่งขึ้น 
มีแต่จะเพิ่มก้อนทุกข์ใส่ตัวมากขึ้นๆ

ในเมื่อเราเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมภายนอกไม่ได้
ก็เปลี่ยนเสียที่ตัวเรานี่แหละ ที่ใจของเราก่อน
คิดเสียว่า เราไม่ได้รถติดอยู่คนเดียวเสียหน่อย
มีอีกตั้งหลายคนที่ติดเหมือนกับเรานี่แหละ
แทนที่จะเอาเวลามานั่งทุกข์
หันไปเปิดเพลงฟังให้ผ่อนคลาย 
หรือฟังข่าวสาร เพิ่มความรู้ให้ตัวเอง 
เรียกว่าใช้เวลาที่มีอยู่อย่างสร้างสรรค์ 

มีนักเขียนชาวอเมริกันท่านหนึ่ง เขียนหนังสือเกี่ยวกับ ความมหัศจรรย์แห่งความคิดที่ถูกต้อง
ได้กล่าวไว้่ประโยคหนึ่งว่า
"When the mind is changed the man is changed."

คนคนหนึ่งสามารถเปลี่ยนชีวิตของตนเอง
จากหน้ามือเป็นหลังมือได้
เพียงแค่เปลี่ยนความคิด

ยังไม่ได้บอกให้เชื่อว่าทำได้จริงหรือไม่
แต่ขอให้ลองไปใช้กับตัวเองดู
ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร 
คุณเท่านั้นแหละที่จะพิสูจน์ได้เอง



ปล. ใครสนใจอ่านเรื่อง the Miracle of Right Thought ก็ ไปอ่านได้ตาม ลิงค์นี้นะ http://www.mrrena.com/misc/miracle7.php






วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Transformer 3

ครั้งแรกในเมืองไทยที่ไปดูหนังคนเดียว แถมเป็นรอบดึกด้วย >,<,,
เพราะอยากรู้สึกผ่อนคลายเรื่องเครียดๆออกไปจากสมอง
แต่ก็หาคนไปดูด้วยไม่ได้
สุดท้ายก็ลงเอยที่ไปคนเดียว (ก็ได้)

ได้รอบ 8.20pm ที่พารากอน
หนังยาว 3 ชั่วโมง แถมเป็น 3D ก็นั่งดูจนตาแฉะเลยล่ะ

แต่ก็รู้สึกว่าคุ้มนะ ที่ไปดู
ฟังๆแต่คนอื่นๆเล่าว่า ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ตามแต่รสนิยมส่วนบุคคล
แต่ถ้าถาม
อยากบอกว่า เป็นหนังที่ดีที่สุดเท่าที่ดูมาในรอบปีนี้เลยล่ะ
เลยอยากขอ Review หนังตามความคิดแบบบ้านๆ ของคนชอบดูหนังนะ

โดยเอาเฉพาะสิ่งที่คิดว่าดี และได้จากหนังเรื่องนี้นะ
เป็นที่รู้ๆกันดีอยู่แล้วว่า Special Effect แสง สี เสียง ของเรื่องอลังการมาก ภาพสวย สมจริงดี
อย่างน้อย แค่เข้าไปดูฉากการต่อสู้ แต่ละฉาก ก็ถือว่าคุ้มแล้ว เพราะของเค้่าดีจริง

แต่หนังเรื่องนี้ ไม่ใข่แค่เข้าไปดู หุ่นยนต์สู้กัน แต่ยังมีข้อคิดดีๆที่ได้จากเนื้อหาของเรื่องด้วย
1. เรื่องของความปรองดอง และสามัคคี
นี่ถือเป็นพล็อตหลักของเรื่องก็ว่าได้
ที่สะท้อนความสำคัญเรื่องความปรองดอง และสามัคคีผ่านทางเรื่องราวของหนัง
เมืองไทย ทุกวันนี้พูดกันเยอะ เรื่องความปรองดอง หรือ สมานฉันท์
แต่จะมีสักกี่คน ที่คิดและทำอย่างจริงๆจังๆ ที่จะ สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในประเทศ
จึงอยากสะท้อนแง่คิดจากหนังเรื่องนี้ ให้เข้าไปถึงใจของคนไทยหลายๆคน


2. ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูที่แท้จริง
ผู้ที่เคยเป็นมิตรกับเรา อาจกลับมาแทงเราข้างหลัง
ในทางกลับกัน ผู้ที่เคยเป็นศัตรูคู่แค้นกัน อาจกลับกลายเป็นมิตรกันได้ภายหลัง

3. มิตรที่ดี จะสามารถพึ่งพาได้ในยามยาก
จะเห็นว่า มีแต่มิตรแท้ ที่จะช่วยเหลือในยามยาก ไม่หน่ายหนี
แต่มิตรลวง มักอยู่ใกล้ยามดี แต่หนีหายยามยาก

4. อย่าเชื่อใจคนพาลผู้ขึ้นชื่อว่า เป็นคนพาลแล้ว ย่อมไม่ซื่อสัตย์ และนำภัยมาแก่ผู้แวดล้อม

5. ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนที่ดีที่สุด
ก่อนหวังจะขอความช่วยเหลือจากใคร หรือหันพึ่งใคร
ควรพยายามพึ่งตนเองให้มากที่สุดก่อน
เพราะไม่ว่าคนที่รักเราแค่ไหน ก็ไม่สามารถช่วยเราได้เสมอไป

ถ้าตัวเรายังไม่คิดหาทางช่วยตัวเอง
แล้วใครที่ไหนจะมาช่วยเรา

ฉะนั้น คนที่จะเป็นที่พึ่งให้แก่เราได้ดีที่สุด ก็คือ ตัวเรานั่นเอง
สองมือ สองเท้า และหนึ่งสมอง หรือสติปัญญา
คือที่พึ่งที่ดีที่สุดของเรา


ดูหนัง จะดูให้เพลิดเพลินก็ได้
ดูให้มีสาระก็ได้
ดูให้เกิดผล เกิดประโยชน์กับตนเอง ก็เป็นหนังที่ดีทั้งนั้น
ขอให้สนุกกับการดูหนังกันทุกคนนะคะ ^___^

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เปราะบาง ตนของตน และความเข้มแข็ง

ในแต่ะละวัน
เราอาจต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆมากมายที่อาจก่อให้เกิด
ความเครียด อารมณ์ปรวนแปร ความอ่อนแอ
ความเศร้า ความหดหู่
หรืออารมณ์ไม่พอใจ โกรธ หรือ หงุดหงิด

หลายๆครั้งที่เราต้องเผชิญหน้า และอดทนหรือ อดกลั้นกับสิ่งเหล่านี้เพียงลำพัง
แต่ละคน ก็มีการจัดการกับอารมณ์เหล่านี้ในรูปแบบต่างๆกันไป
บางคนหาทางออก ปลดปล่อยอารมณ์นั้นด้วยอาการต่างๆ
บ้างเข้าหากิจกรรมบันเทิง เริงใจต่างๆ ตามแต่ความชอบส่วนตัว
บ้างหวังพึ่งศาสนา หรือหลักปรัชญาต่างๆ
แต่ส่วนใหญ่มักนึกถึงคนใกล้ตัว เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนสนิท หรือ คนรู้ใจ
อาจเพราะ เวลาที่มีปัญหา หรือไม่สบายใจ
เพียงแค่ได้พูดคุย หรือ ระบายสิ่งที่อัดอั้นในใจออกไป ก็ช่วยให้ผ่อนคลายได้ในระดับหนึ่ง


แต่...

การหวังพึ่งพาคนรอบข้าง อาจไม่ช่วยเสมอไป
เพราะเมื่อคนเหล่านั้น อาจไม่มีเวลาใส่ใจ
หรือบางคนรำคาญ หรือเบื่อ ที่จะต้องรับฟัง
สิ่งเหล่านี้ อาจกลับกลายเป็นตอกย้ำ หรือ ก่อให้เกิดปัญหาใหม่ๆตามมา

เพราะไม่มีใคร ที่สามารถช่วยเราได้ตลอดเวลา
แม้บางคนที่เคยช่วยเราได้
ก็อาจช่วยเราไม่ได้ในครั้งต่อไป

ดังนั้น


วิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยดับ หรือ บรรเทาปัญหาในใจของตนเองได้
นั่นคือแก้ที่เหตุ
เหตุเกิดที่ใด ก็ดับมันที่นั่น
การพึ่งที่ดีที่สุด คือการพึ่งตนเอง
เพราะตัวของเราเองนี่แหละ ที่จะไม่ทรยศ หักหลังตัวเอง

อย่ากลัวที่จะต้องพจญกับปัญหาต่างๆ เพียงลำพัง
ถ้าเราสู้ เราจะพบว่า เราเข้มแข็งขึ้นทุกครั้งทีี่ผ่านปัญหาเหล่านั้นไปได้
Good luck on your side!

Yes,you got to be strong
And be all the best you can
The world is out there,conquer your fears
And don't you wait too long



วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คนละทาง

ผิดเหรอ ที่อยากอวดคนรัก ให้เพื่อนๆได้เจอ
ผิดเหรอ ที่อยากแนะนำ คนรัก ให้เพื่อนได้รู้จักไว้
ผิดเหรอ ที่เวลาเจอกับคนที่รัก ก็อยากที่จะอยู่ด้วยกันนานๆ
ผิดเหรอ ที่อยากแชร์ เรื่องราวต่างๆของเราให้คนที่รักได้รับรู้

น่าเสียใจนะ ที่การพาเค้าไปเจอเพื่อนๆเรา

            ...กลายเป็นเรื่องเสียเวลาของเขา
น่าเสียใจนะ ที่การที่แนะนำเค้าให้เพื่อนๆเรา

            ...กลายเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะก็แค่เพื่อนเราไม่ใช่เพื่อนเค้า

น่าเสียใจนะ ที่การอยากใช้เวลาอยู่กับเค้านานๆ

             ...กลายเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อสำหรับเค้า

น่าเสียใจนะ ที่การอยากแชร์เรื่องราวต่างๆ

             ...กลายเป็นเรื่องน่ารำคาญที่เค้าไม่อยากสนใจ

ตลกนะ ที่เรื่องราว หรือ เหตุการณ์ที่เจอะเจอพร้อมกัน 
แต่สามารถถูกถ่ายทอดได้คนละแบบ

ตลกนะ ที่เมื่อคนสองคน สามารถมองเรื่องราวได้ต่างกันอย่างสุดขั้ว

ตลกนะ ที่เมื่อความรู้สึกที่มีให้กัน มันกลายเป็นขั้วบวก และ ขั้วลบ

ตลกนะ ที่เมื่อ ต่างฝ่าย ต่างขั้ว มาชนกัน 
สุดท้ายก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดนผลักออกมา

ลงท้าย...

ก็แค่ ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ต้องเสียใจ
ก็แค่ ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ต้องเสียน้ำตา
ก็แค่ หัวใจดวงใดดวงหนึ่งต้องแตกสลายไป
ก็แค่...คนคนหนึ่งก็ต้องนั่งเหงา เพียงลำพัง

ไม่มีคนไหนในโลกใบนี้ ที่เหมือนกันได้ทุกอย่าง
แม้กระทั่งฝาแฝด ก็ยังมีส่วนที่ต่างกัน
แต่คนสองคนที่ได้มาเจอกัน
จะสามารถถักทอความสัมพันธ์
และสานความรักให้ดำรงอยู่ได้ก็ด้วย ความเข้าใจ และการยอม

ยอมที่จะวางทิฐิของแต่ละคนลง
ยอมที่จะ เดินเข้าหากันคนละครึ่งทาง
ยอมที่จะรับฟัง ความรู้สึก และความคิดเห็นของอีกฝ่าย
ยอมที่จะ จับมือ และเดินไปข้างหน้าพร้อมๆกัน


วันนี้คุณพยายามเข้าใจ และ 'ยอม' คนที่คุณรักหรือยัง
หรือ คนคนนั้นกลายเป็นแค่ คนที่คุณ 'เคย' รัก ไปแล้ว



วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อยากจะสวย เราช่วยคุณได้

เมื่อวานเขียนเรื่องความสวย กับความมุ่งมั่น
ก็เลยนึกถึงการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งที่เคยอ่านมานานแล้ว
ชื่อว่า "อยากจะสวย เราช่วยคุณได้" โดยคุณ โมโมโกะ ไอกาว่า
เห็นหน้าปกครั้งแรก ก็อยากซื้อมาอ่านล่ะ เพราะลายเส้นสวยมาก
ชื่อเรื่องก็น่าดึงดูดใจให้อ่านมาก
ก็เป็นผู้หญิงนี่นะ เรื่องความสวยความงามก็ต้องสนใจอยู่แล้ว...


การ์ตูนเรื่องนี้ดำเนินเรื่องด้วยชุดตอนสั้นๆ
แต่ละตอนจะแนะนำเทคนิคการดูแล รักษาผิวพรรณ 
และการใช้เครื่องสำอาง
โดยโยงเข้ากับชีวิตของตัวละครเอกในแต่ละตอน
เป็นการ์ตูนที่ให้เนื้อหาสาระ และความสนุกอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว

วันนี้เลยขอยกเอาตอนหนึ่งที่ชอบ มาเล่าให้ฟัง

ตอน ชุบชีวิตใหม่ให้ผิว

เรื่องมีอยู่ว่า มีสาวออฟฟิตวัยรุ่นยี่สิบต้นๆ
ทำงานเป็นพนักงานประชาสัมพันธ์ในบริษัทแห่งหนึ่ง
กำลังกลุ้มใจกับปัญหาสิวบนใบหน้า
 ทำให้ขาดความมั่นใจ
เลยพยายามหาทางรักษาสิวบนใบหน้าตัวเอง

วันหนึ่งได้เจอกับผู้เชี่ยวชาญความงามของผลิตภัณฑ์หนึ่ง
และได้รับการแนะนำว่า 
ปัญหาสิวของเธอเกิดเพราะความเครียด และการดูแลผิวพรรณที่ไม่ถูกวิธี



ผู้เชี่ยวชาญความงามรับปากว่า จะช่วยให้เธอรักษาสิวจนหายได้ภายใน 4 สัปดาห์
แต่มีข้อแม้ว่าเธอต้องปฏิบัติตามข้อแนะนำอย่างเคร่งครัด

ในช่วงการรักษา 
เธอพบว่า
จริงๆแล้วที่เธอขาดความมั่นใจ ไม่ใช่เป็นเพราะแค่ปัญหาสิว
แต่เพราะเธอไม่มั่นใจในตัวเองด้วย
เธอมองว่าตัวเองไม่ได้เก่ง และมีความสามารถมากนัก
ทั้งยังได้งานเพราะผู้จัดการขี้หลีชอบพอในตัวเธอจึงรับเข้าทำงาน


ปมเหล่านี้ฝังรากลึกลง และกัดกร่อนจิตใจของเธอจนเปราะบาง
จนเธอเกือบจะล้มเลิกความตั้งใจ ที่จะรักษาสิว 
เพราะคิดว่าทำไปก็ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเธอดีขึ้น
 ผู้เชี่ยวชาญจึงถามเธอว่า

" จะถอดใจ ทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง
แล้วบอกว่าทำไม่ได้งั้นเหรอคะ " 


คำพูดประโยคสั้นๆ ง่ายๆ แต่กลับเสียดแทงทะลุไปถึงใจนั้น
ทำให้เธอฉุกคิดได้ว่า
ที่ผ่านมา เธอได้แต่โทษตัวเองว่าไม่ดีพอ ไม่สวยพอ ไม่เก่งพอ
แต่ไม่เคยได้ลองพยายามที่จะลบคำเหล่านั้นออกไปจากตัวเลย

เธอจึงลองเดิมพันกับการพยายามครั้งใหม่ดู
โดยการมุ่งมั่น กับการรักษาสิวอย่างจริงจัง


และเธอก็พบว่า ความมุ่งมั่นที่อยากจะสวยของเธอ
ส่งผลให้ผิวเกิดความพยายามที่จะสวยด้วยเช่นกัน

ขณะเดียวกันทำให้เธอคิดได้ว่า
ตอนที่หางาน แค่ถูกหาว่าไม่มีคุณสมบัติ
ก็ไม่สบายใจ และได้แต่อิจฉาคนที่ได้งาน
โดยที่ตัวเองไม่ได้พยายามอะไรเลย
มีแต่วิ่งหนีลูกเดียว

ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง 
โดยการเข้าคอร์ทเรียนภาษาอังกฤษ

จนกระทั่งพบว่าเมื่อตัวเองพยายามอย่างเต็มที่
ก็สามารถทำสิ่งนั้นให้ดีได้

ท้ายที่สุด เธอก็ได้ค้นพบว่าแท้จริงตนต้องการอะไร
และไม่กลัวที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายนั้น
เพราะเธอรู้แล้วว่า 

ไม่มีอะไรยากเกินกว่าความมุ่งมั่น และความเพียรที่จะทำให้เป้าหมายนั้นบรรลุผล



ขอให้ผู้หญิงทุกคนที่พร้อมจะสู้ สำเร็จในสิ่งที่หวังนะคะ


Beauty and Ambition : ความสวย กับ ความมุ่งมั่น


 
ความสวย กับผู้หญิง เป็นของคู่กัน
คงไม่มีผู้หญิงคนไหน ปฏิเสธว่า ตัวเองไม่อยากสวย

เพราะความสวย 
ไม่ใช่แค่ทำให้ดูดี แต่รูปลักษณ์ภายนอก
ความสวยทำให้ผู้หญิงเกิดพลังความมั่นใจในตนเองอีกด้วย

แต่เพราะไม่ใช่ทุกคน ที่สวยพร้อมตั้งแต่เกิด
หลายต่อหลายคนคิดว่าตัวเองไม่สวย หรือ ดูดีไม่พอ
และบางคน ถึงกับน้อยเนื้อ ต่ำใจในโชควาสนาของตนเอง

หลายต่อหลายคน มองว่า คนที่เกิดมาดีพร้อม เพราะเขาโชคดี วาสนาดี

จริงหรือ ที่ต้องเกิดมาโชคดี หรือ วาสนาดีเท่านั้น จึงจะสวยได้

มีคำกล่าวภาษาอังกฤษว่า "Beauty: you earn it, you are not born with it."

ความสวย คือสิ่งที่คุณสร้างขึ้นมา ไม่ใช่เกิดมาพร้อมกับมัน

คุณไม่ผิดหรอก ที่อาจจะเกิดมาไม่สวย
และไม่ผิดหรอก ที่อยากที่จะสวย
แต่จะผิด หากคุณไม่มีความมุ่งมั่นพอที่จะทำให้ตัวเองสวยอยากที่ใจอยาก



นึกถึงผู้หญิงที่สวย และเก่ง ทีไร ก็นึกถึง Natalie Portman  ทุกที 
       ผู้หญิงคนนี้ ไม่ใข่ แค่ สวย แต่ ยังเก่ง และ ฉลาดด้วย 
          เป็นดาราสาวสวย ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
              อีกทั้งยังมีดีกรีปริญญาตรี สาขาจิตวิทยา จาก Harvard University มหาลัยชั้นนำของโลก
               
                  เชื่อว่ามีผู้หญิงหลายคน มองเธอด้วยความชื่นชม 
            และ มีอีกหลายคนแอบอิจฉาลึกๆในใจ
        ว่าทำไมเธอถึงเกิดมามีโชคดีขนาดนี้ เพียบพร้อมขนาดนี้

แต่เบื้องหลังของความสำเร็จ ที่เธอคนนี้ได้มา 
เกิดจากการทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ สติปัญญา ความมีวินัย และการดูแลตัวเองอย่างดี

และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผู้หญิงคนนี้มี ก็คือ

"Ambition" หรือ ความมุ่งมั่นปราถนาอย่างแรงกล้า

สิ่งนี้เป็นตัวขับเคลื่อน หรือ พลังกระตุ้นที่ผลักดันให้พุ่งสู่เป้าหมายอย่างไม่ย่อท้อ

ไม่มีใครหรอก ที่เกิดมา ดีทุกอย่าง หรือ แย่ทุกอย่าง
และไม่มีใครที่เกิดมาแล้วก็มีพร้อมทุกอย่าง

ความสวยก็เช่นกัน
แม้คุณไม่ได้เกิดมาพร้อมกับมัน
แต่คุณก็สร้างมันขึ้นมาได้
แต่...ถามตัวเองก่อน 

คุณมีความมุ่งมั่นมากพอหรือยัง















วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เรื่องเก่าๆ กับสองมุมมอง

เคยได้ยินไหม กับคำพูดว่า
"เรื่องมันผ่านไปแล้ว ก็ให้มันผ่านไป จะเก็บเอามารื้อฟื้นทำไม"

ประโยคเพียงประโยคเดียว แต่หากตีความหมายได้ต่างกัน ขึ้นอยู่กับคนพูดเป็นคนประเภทไหน

ประเภทแรก คือผู้ที่ เคยทำผิดพลาดในอดีต หากแต่เรียนรู้ไปกับข้อผิดพลาดนั้น
และขวนขวายที่จะหาหนทางไม่ให้ผิดพลาดอีก
 คำพูดประโยคนั้น ก็จะถูกใช้เพื่อ เตือนสติ ตน
ให้ระลึกถึงความผิดที่เคยกระทำ แต่ไม่แบกรับมันจนเป็นทุกข์ติดตัว

ในทางกลับกัน
คนอีกประเภท
คนที่เคยทำผิดผลาดในอดีต
หากคิดเสียเพียงว่า มันผ่านไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้
แล้วปล่อยให้มันผ่านไป ไม่ได้สนใจที่จะหาทางแก้ไข หรือ ปรับปรุงเพื่อไม่ให้ผิดซ้ำอีก
ประโยคที่ว่า  "เรื่องมันผ่านไปแล้ว ก็ให้มันผ่านไป จะเก็บเอามารื้อฟื้นทำไม"
ก็จะกลายเป็นเพียงข้ออ้าง ของคนมักง่าย ที่ยกมาเพื่อหาทางรอดไปเรื่อยๆ

จะเห็นได้ว่าประโยคเพียงประโยคเดียว
สามารถตีความออกได้แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับผู้พูด
จริงอยู่ว่า เราไม่ควรเอาเรื่องอดีตมาทำให้เราทุกข์ใจ  หรือแบกมันไว้กับตัว
เพราะมันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ไม่สามารถเรียกกลับมาแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงได้


แต่...อดีตเป็นสิ่งที่นำมาสู่ปัจจุบัน และอาจโน้มนำไปสู่อนาคต

ถ้าวันหนึ่งคุณต้องพูดประโยคนี้
คุณคิดว่า คุณจะพูดแบบคนประเภทไหนล่ะ












วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สิ่งมีค่าที่อยู่ใกล้ตัว

เคยไหม...ที่ต้องมานึกเสียดายเมื่อสิ่งมีค่าที่เคยมี สักอย่างหายไป
เคยไหม...ที่ต้องมาคิดว่า ถ้ารู้ว่ามันสำคัญ คงถนอม และดูแลรักษาให้ดีกว่านี้ 
เคยไหม...ที่สุดท้ายต้องมาร้องไห้เสียใจ ที่ต้องสูปเสีย สิ่งที่พึ่งจะรู้ว่ามีค่าและสำคัญกับตนมากแค่ไหน

คำโบราณเคยกล่าวไว้ว่า 'ใกล้เกลือกินด่าง' 

คนเราแปลก ชอบเสาะแสวงหา เพียรพยายามให้ได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งมา แม้ว่าไกลแค่ไหนก็พยายามดั้นด้นไป

แต่กลับมองข้ามของใกล้ตัว ที่อยากจะหยิบมาใช้สวยเมื่อไหร่ก็ได้
ก็เหมือนคนชอบทานอาหาร

คนไหนบอกร้านนั้นดี ร้านโน้นอร่อยเด็ด 

ไม่ว่าไกลแค่ไหน ก็ยอมถ่อไป แค่ให้ได้ลองไปลิ้มรสอาหารจานนั้นๆ

แต่สุดท้ายกลับมารู้จากปากคนอื่นว่า 

ร้านอาหารใกล้บ้านตัวเองมีชื่อเสียงมากว่าอร่อย

แต่ไม่เคยได้ลิ้มลองจนกระทั่งมีคนมาเล่าให้ฟัง
แม้กระทั่งเรื่องของความรัก

คนหนุ่มคนสาว มักพยายามเสาะแสวงหาความรัก

แม้ต้องยื้อแย่ง แม้ต้องแข่งขัน

แม้ต้องเสียเงินเสียทอง เพื่อให้ได้ความรักนั้นๆมา

ต้องผ่านทั้งความสุขปนทุกข์ หรือแม้ต้องรินหลั่งน้ำตามากมาย

ก็ยังคงเพียร หาต่อไป

ทั้งๆที่ คงลืมไป ว่ามีความรักอยู่ใกล้ๆตัว

ที่ไม่จำเป็นต้องเสียเงินทอง หรือ ของมีค่าใดๆให้ได้รับความรักนั้นมา

มันคือความรักที่บริสุทธิ์ 

จาก คนที่เป็น 'ผู้ให้กำเนิด' สู่ 'บุตรธิดา' ของตน

พ่อแม่มีความรักมากมายมหาศาล และเพียรให้แค่ลูกๆของท่านอย่างไม่มีวันหมด

แต่หลายๆครั้ง เราไม่ได้ใส่ใจ หรือลืม เพราะมัวแต่เสาะหาความรักจากนอกบ้าน

ทั้งๆที่ความรักในบ้านนั้นเต็มเปี่ยม

กว่าจะนึกได้ว่าท่านทั้งสองมีค่าแค่ไหน ก็อาจจะเป็นวันที่เราต้องสูญเสียท่านไปแล้ว

อย่ารอ..

ให้วันนั้นมาถึงก่อนที่จะคิดได้

ลองใส่ใจสักนิด 

ลองกลับมาย้อนคิดดีๆว่า 

เราเก็บของมีค่าไว้เฉยๆ แต่ไม่คิดดูแลมากี่อย่าง กี่ชิ้น แล้ว

เปิดมันออกมาดูแลบ้าง

รักและเอาใจใส่คนใกล้ตัวที่มีค่าของคุณบ้าง
ก่อนที่จะต้องมีคำว่า "เสียดาย" และ " เสียใจ"เมื่อต้องเสียสิ่งมีค่านั้นไป